Monday, 17 November 2025

เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ

เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ

เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ

เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ปัญหาที่คนใช้รถหลีกเลี่ยงได้ยากคือ “น้ำท่วมขัง” บนท้องถนน ไม่ว่าจะจากฝนตกหนักหรือการระบายน้ำไม่ทัน หลายครั้งเราจำเป็นต้องขับรถฝ่าน้ำโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ดังนั้นหากต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ มาดูเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมอย่างปลอดภัย และวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำกัน


🔹 ก่อนขับลุยน้ำท่วม: ประเมินสถานการณ์ให้ดี

1. สังเกตระดับน้ำก่อนตัดสินใจ

สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ประเมินระดับน้ำ” โดยพิจารณาจากความสูงของน้ำและความสูงของรถ

  • ระดับน้ำที่ ปลอดภัยที่สุดในการขับผ่านคือไม่เกิน 30 เซนติเมตร (ประมาณครึ่งฟุตบาท)

  • หากน้ำสูงถึง ขอบประตูหรือเลยฟุตบาท ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะอาจทำให้น้ำเข้าห้องโดยสาร ระบบไฟฟ้าช็อต หรือเครื่องยนต์ดับกลางทางได้

  • พยายามเบี่ยงเข้าช่องทางที่น้ำตื้นกว่า เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำจะเข้าสู่เครื่องยนต์

2. ระดับน้ำที่รถแต่ละประเภทสามารถผ่านได้

  • ต่ำกว่า 20 ซม. : รถเก๋งทั่วไปยังสามารถผ่านได้อย่างปลอดภัย

  • 20 – 40 ซม. : รถเก๋งขนาดเล็กเริ่มเสี่ยง ควรขับระยะสั้น ๆ เท่านั้น

  • 40 – 60 ซม. : รถเก๋งไม่ควรผ่าน ส่วนรถกระบะยกสูงหรือออฟโรดยังพอได้ แต่ต้องระวัง

  • 60 – 80 ซม. : ห้ามผ่านเด็ดขาด เพราะน้ำอาจเข้าสู่ช่องกรองอากาศจนเครื่องดับ


🔹 ระหว่างขับลุยน้ำ: เทคนิคขับให้ปลอดภัย

1. รักษาความเร็วคงที่ – อย่าเร่งเครื่อง

การเร่งหรือเบรกกะทันหันทำให้รถเสียการทรงตัวได้ง่าย ควรใช้ ความเร็วต่ำและสม่ำเสมอ
ขณะขับให้ ย้ำเบรกเบา ๆ เป็นระยะ เพื่อช่วยไล่น้ำออกจากระบบเบรกและรักษาสมดุลของรถ

2. ใช้เกียร์ต่ำ

  • รถเกียร์ธรรมดา: ใช้เกียร์ 1 หรือ 2

  • รถเกียร์ออโต้: ใช้เกียร์ L
    เพราะรอบเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 1,500–2,000 รอบ/นาที ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เครื่องจะดับกลางน้ำ

    ใช้เกียร์ต่ำ

    ใช้เกียร์ต่ำ

3. ปิดระบบแอร์

หากน้ำสูงเกิน 10 เซนติเมตร ควร ปิดเครื่องปรับอากาศทันที เพื่อป้องกันพัดลมระบายความร้อนตีน้ำกระเด็นเข้าห้องเครื่อง ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ดับหรือระบบไฟฟ้าช็อตได้

4. รักษาระยะห่างคันหน้า

ควรเว้นระยะห่างจากคันหน้า ประมาณ 50 เมตร เพื่อดูทิศทางการเคลื่อนตัวของรถและหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางที่อาจอยู่ใต้น้ำ

5. หากเครื่องดับ – ห้ามสตาร์ตซ้ำ

หากรถดับกลางน้ำ ให้รีบ เข็นรถเข้าพื้นที่สูง และ ห้ามสตาร์ตเครื่องเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้น้ำไหลเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์จนเกิดความเสียหายหนัก

ปิดแอร์

ปิดแอร์


🔹 หลังขับลุยน้ำ: ตรวจเช็กและดูแลให้ถูกวิธี

1. อย่าดับเครื่องทันที

หลังจากขับลุยน้ำมา ควร ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไว้สักพัก เพื่อระเหยน้ำที่ค้างในท่อไอเสียออกให้หมด

2. ตรวจสอบเบรก

  • เหยียบเบรกเบา ๆ 2–3 ครั้ง เพื่อไล่น้ำออกจากระบบ

  • รถเกียร์ธรรมดาควร “ย้ำคลัตช์” เพื่อป้องกันคลัตช์ลื่น

  • อย่าเร่งความเร็วมากเกินไปในช่วงนี้

3. ตรวจเช็กเครื่องยนต์

  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น เร่งไม่ขึ้น เสียงดัง หรือกระตุก

  • ตรวจ ก้านวัดน้ำมันเครื่อง หากน้ำมันขุ่นเหมือน “กาแฟใส่นม” แสดงว่าน้ำเข้าเครื่อง

  • ตรวจ กรองอากาศและท่อไอดี ว่ามีความชื้นหรือไม่
    หากพบสิ่งผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมทันที

4. ตรวจระบบไฟฟ้าและอีซียู

  • เปิดกล่องฟิวส์ดูว่ามีความเสียหายหรือไม่

  • หากพบความชื้นหรือสนิมให้เปลี่ยนใหม่ทันที

  • ตรวจสอบกล่อง ECU และขั้วแบตเตอรี่ หากเปียกควรเช็ดให้แห้ง

5. ตรวจภายในห้องโดยสาร

  • ตรวจดูพรมและพื้นรถ หากมีน้ำซึม ควรถอดออกมาตากแดด

  • เปิดประตูทั้งสี่บานระบายอากาศ ไล่ความชื้น

  • ในรถบางรุ่น โมดูลควบคุมถุงลมนิรภัยอยู่ใต้เบาะ ควรระวังไม่ให้ชื้นหรือเปียก


✅ สรุป

การขับรถลุยน้ำท่วมอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางสถานการณ์ แต่หากเตรียมตัวดี รู้ระดับน้ำที่ปลอดภัย และปฏิบัติตามเทคนิคอย่างถูกวิธี ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและความเสียหายของรถยนต์ได้มาก ที่สำคัญคือ “อย่าชะล่าใจ” และรีบตรวจเช็กรถทุกครั้งหลังผ่านน้ำ เพื่อความปลอดภัยทั้งของรถและตัวคุณเอง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save