
เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ
เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย พร้อมวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ปัญหาที่คนใช้รถหลีกเลี่ยงได้ยากคือ “น้ำท่วมขัง” บนท้องถนน ไม่ว่าจะจากฝนตกหนักหรือการระบายน้ำไม่ทัน หลายครั้งเราจำเป็นต้องขับรถฝ่าน้ำโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ดังนั้นหากต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ มาดูเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมอย่างปลอดภัย และวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำกัน
🔹 ก่อนขับลุยน้ำท่วม: ประเมินสถานการณ์ให้ดี
1. สังเกตระดับน้ำก่อนตัดสินใจ
สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ประเมินระดับน้ำ” โดยพิจารณาจากความสูงของน้ำและความสูงของรถ
-
ระดับน้ำที่ ปลอดภัยที่สุดในการขับผ่านคือไม่เกิน 30 เซนติเมตร (ประมาณครึ่งฟุตบาท)
-
หากน้ำสูงถึง ขอบประตูหรือเลยฟุตบาท ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะอาจทำให้น้ำเข้าห้องโดยสาร ระบบไฟฟ้าช็อต หรือเครื่องยนต์ดับกลางทางได้
-
พยายามเบี่ยงเข้าช่องทางที่น้ำตื้นกว่า เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำจะเข้าสู่เครื่องยนต์
2. ระดับน้ำที่รถแต่ละประเภทสามารถผ่านได้
-
ต่ำกว่า 20 ซม. : รถเก๋งทั่วไปยังสามารถผ่านได้อย่างปลอดภัย
-
20 – 40 ซม. : รถเก๋งขนาดเล็กเริ่มเสี่ยง ควรขับระยะสั้น ๆ เท่านั้น
-
40 – 60 ซม. : รถเก๋งไม่ควรผ่าน ส่วนรถกระบะยกสูงหรือออฟโรดยังพอได้ แต่ต้องระวัง
-
60 – 80 ซม. : ห้ามผ่านเด็ดขาด เพราะน้ำอาจเข้าสู่ช่องกรองอากาศจนเครื่องดับ
🔹 ระหว่างขับลุยน้ำ: เทคนิคขับให้ปลอดภัย
1. รักษาความเร็วคงที่ – อย่าเร่งเครื่อง
การเร่งหรือเบรกกะทันหันทำให้รถเสียการทรงตัวได้ง่าย ควรใช้ ความเร็วต่ำและสม่ำเสมอ
ขณะขับให้ ย้ำเบรกเบา ๆ เป็นระยะ เพื่อช่วยไล่น้ำออกจากระบบเบรกและรักษาสมดุลของรถ
2. ใช้เกียร์ต่ำ
-
รถเกียร์ธรรมดา: ใช้เกียร์ 1 หรือ 2
-
รถเกียร์ออโต้: ใช้เกียร์ L
เพราะรอบเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 1,500–2,000 รอบ/นาที ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เครื่องจะดับกลางน้ำ
ใช้เกียร์ต่ำ
3. ปิดระบบแอร์
หากน้ำสูงเกิน 10 เซนติเมตร ควร ปิดเครื่องปรับอากาศทันที เพื่อป้องกันพัดลมระบายความร้อนตีน้ำกระเด็นเข้าห้องเครื่อง ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ดับหรือระบบไฟฟ้าช็อตได้
4. รักษาระยะห่างคันหน้า
ควรเว้นระยะห่างจากคันหน้า ประมาณ 50 เมตร เพื่อดูทิศทางการเคลื่อนตัวของรถและหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางที่อาจอยู่ใต้น้ำ
5. หากเครื่องดับ – ห้ามสตาร์ตซ้ำ
หากรถดับกลางน้ำ ให้รีบ เข็นรถเข้าพื้นที่สูง และ ห้ามสตาร์ตเครื่องเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้น้ำไหลเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์จนเกิดความเสียหายหนัก

ปิดแอร์
🔹 หลังขับลุยน้ำ: ตรวจเช็กและดูแลให้ถูกวิธี
1. อย่าดับเครื่องทันที
หลังจากขับลุยน้ำมา ควร ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไว้สักพัก เพื่อระเหยน้ำที่ค้างในท่อไอเสียออกให้หมด
2. ตรวจสอบเบรก
-
เหยียบเบรกเบา ๆ 2–3 ครั้ง เพื่อไล่น้ำออกจากระบบ
-
รถเกียร์ธรรมดาควร “ย้ำคลัตช์” เพื่อป้องกันคลัตช์ลื่น
-
อย่าเร่งความเร็วมากเกินไปในช่วงนี้
3. ตรวจเช็กเครื่องยนต์
-
สังเกตอาการผิดปกติ เช่น เร่งไม่ขึ้น เสียงดัง หรือกระตุก
-
ตรวจ ก้านวัดน้ำมันเครื่อง หากน้ำมันขุ่นเหมือน “กาแฟใส่นม” แสดงว่าน้ำเข้าเครื่อง
-
ตรวจ กรองอากาศและท่อไอดี ว่ามีความชื้นหรือไม่
หากพบสิ่งผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมทันที
4. ตรวจระบบไฟฟ้าและอีซียู
-
เปิดกล่องฟิวส์ดูว่ามีความเสียหายหรือไม่
-
หากพบความชื้นหรือสนิมให้เปลี่ยนใหม่ทันที
-
ตรวจสอบกล่อง ECU และขั้วแบตเตอรี่ หากเปียกควรเช็ดให้แห้ง
5. ตรวจภายในห้องโดยสาร
-
ตรวจดูพรมและพื้นรถ หากมีน้ำซึม ควรถอดออกมาตากแดด
-
เปิดประตูทั้งสี่บานระบายอากาศ ไล่ความชื้น
-
ในรถบางรุ่น โมดูลควบคุมถุงลมนิรภัยอยู่ใต้เบาะ ควรระวังไม่ให้ชื้นหรือเปียก
✅ สรุป
การขับรถลุยน้ำท่วมอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางสถานการณ์ แต่หากเตรียมตัวดี รู้ระดับน้ำที่ปลอดภัย และปฏิบัติตามเทคนิคอย่างถูกวิธี ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและความเสียหายของรถยนต์ได้มาก ที่สำคัญคือ “อย่าชะล่าใจ” และรีบตรวจเช็กรถทุกครั้งหลังผ่านน้ำ เพื่อความปลอดภัยทั้งของรถและตัวคุณเอง