กรองแอร์ และ กรองอากาศ เหมือนกันไหม ?

กรองแอร์ และ กรองอากาศ

กรองแอร์ และ กรองอากาศ ไม่เหมือนกันนะครับ แม้ว่าทั้งสองอย่างจะทำหน้าที่กรองอากาศเหมือนกัน แต่ใช้ในระบบและบริบทที่ต่างกัน:

1. กรองแอร์ (Cabin Air Filter)

• ใช้ในระบบปรับอากาศ (แอร์) ของรถยนต์
• หน้าที่หลักคือกรองฝุ่น, เกสรดอกไม้, แบคทีเรีย และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ก่อนที่อากาศจะเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร
• ช่วยให้อากาศภายในรถสะอาด ลดการเกิดภูมิแพ้และกลิ่นอับ
  

  กรองแอร์รถยนต์

2. กรองอากาศ (Engine Air Filter)

• ใช้ในระบบเครื่องยนต์ของรถยนต์
• หน้าที่หลักคือกรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกในอากาศ ก่อนที่อากาศจะเข้าสู่เครื่องยนต์
• ช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าไปทำลายเครื่องยนต์ และช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  

  เปลี่ยนกรองอากาศรถยนต์

🔍 ความแตกต่างหลัก:

🚗 สรุป

• กรองแอร์: สำหรับอากาศภายในห้องโดยสาร
• กรองอากาศ: สำหรับอากาศที่เข้าสู่เครื่องยนต์

หากต้องการเปลี่ยนหรือดูแล ควรเลือกใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดนะครับ 😊

หลักการทำงานของ กรองแอร์ และ กรองอากาศ จะแตกต่างกันไปตามหน้าที่และการใช้งาน ดังนี้:

🌬️ 1. กรองแอร์ (Cabin Air Filter)

📌 หลักการทำงาน:

• ติดตั้งในระบบปรับอากาศ (แอร์) ของรถยนต์ มักอยู่หลังช่องลมเข้าของระบบแอร์หรือใกล้พัดลมแอร์ (Blower)
• เมื่อพัดลมแอร์ดูดอากาศจากภายนอกเข้ามา อากาศจะผ่านกรองแอร์ก่อนเข้าไปในห้องโดยสาร
• กรองแอร์มักทำจากวัสดุใยสังเคราะห์ (Synthetic Fiber) หรือกระดาษกรองชนิดพิเศษ
• บางรุ่นอาจมีชั้นกรองคาร์บอน (Activated Carbon) เพิ่มเติม เพื่อช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมีในอากาศ

🌀 กระบวนการกรอง:

1. กรองฝุ่นละอองขนาดใหญ่และเล็ก เช่น ฝุ่น PM2.5
2. ดักจับเกสรดอกไม้ และเชื้อรา
3. ดูดซับกลิ่นและสารระเหย เช่น กลิ่นไอเสียหรือสารเคมี

ไส้กรองแอร์ควรเปลี่ยนเมื่อไร?

ตามคำแนะนำของศูนย์บริการรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำว่า ไส้กรองแอร์ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร และควรตรวจเช็คทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งของระบบทำงานรถยนต์ และตัวผู้โดยสารเอง โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเปลี่ยนไส้กรองแอร์ร่วมกับการล้างตู้แอร์แบบไม่ถอดตู้ เพื่อให้อากาศบนรถเย็นสบาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ขับขี่เองด้วย ว่าใช้รถในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะหรือไม่ ถ้าใช่แนะนำให้ตรวจเช็คเร็วยิ่งขึ้น หากพบว่าสกปรกมากก็สามารถเปลี่ยนได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด

เพราะฉะนั้นควรเลือกไส้กรองแอร์ที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน ซึ่งในปัจจุบันมีไส้กรองแอร์ให้เลือกหลายแบบ ไม่ได้มีแต่ไส้กรองแอร์ที่เป็นแบบกระดาษบางๆเพียงอย่างเดียว เพราะมีแบบที่เป็น ไส้กรองแอร์นาโนคาร์บอน ที่สามารถกรองฝุ่นละอองเล็กๆ อย่าง PM2.5 ได้ด้วย<

🚘 2. กรองอากาศ (Engine Air Filter)

📌 หลักการทำงาน:

• ติดตั้งในระบบดูดอากาศ (Air Intake System) ของเครื่องยนต์ มักอยู่ในกล่องกรองอากาศ (Air Filter Box) ก่อนที่อากาศจะเข้าไปยังท่อร่วมไอดี (Intake Manifold)
• ทำจากวัสดุ เช่น กระดาษกรอง พอลียูรีเทน (Polyurethane) หรือใยสังเคราะห์
• มีลักษณะเป็นจีบเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการกรอง

🌀 กระบวนการกรอง:

1. เมื่อเครื่องยนต์ดูดอากาศเข้าไป อากาศจะผ่านกรองอากาศก่อน
2. กรองฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และอนุภาคต่างๆ ในอากาศ
3. อากาศที่ผ่านการกรองแล้วจะเข้าสู่เครื่องยนต์ เพื่อผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงในการจุดระเบิด
4. การกรองที่ดีช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพและลดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน

ไส้กรองอากาศควรเปลี่ยนเมื่อไร? ส่วนใหญ่ในคู่มือรถยนต์จะระบุไว้ว่า ควรถอดไส้กรองอากาศออกมาเป่าทุกๆ 10,000 กิโลเมตร และควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุกๆ 20,000 กิโลเมตร แต่หากเราใช้รถในสถานที่ ที่มีฝุ่นเยอะ เช่น ขับลุยดินบ่อยๆ หรือใช้รถในบริเวณที่กำลังก่อสร้างถนน ก็ควรหมั่นถอดออกมาเป่าบ่อยๆ หรือตามความเหมาะสม หากเราละเลยไม่หมั่นตรวจเช็ค เศษฝุ่นเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ของตัวไส้กรองอากาศ ทำให้ไส้กรองอากาศไม่สามารถดักจับฝุ่นได้หมด เป็นเหตุให้เศษฝุ่นอาจจะเล็ดลอดเข้าไปอุดตันที่ลิ้นปีกผีเสื้อ ส่งผลให้เครื่องยนต์เดินไม่นิ่ง และเศษฝุ่นยังทำให้ไส้กรองอากาศตัน ขวางทางอากาศ ทำให้อากาศไหลผ่านได้ไม่สะดวก ทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ เช่นเครื่องยนต์สั่น กำลังเครื่องยนต์ตก สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ถ้าเราหมั่นตรวจสอบและรีบแก้ไข ปัญหาต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น